วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คิดใหญ่ แต่ไม่ควรเริ่มต้นใหญ่

คิดใหญ่ แต่ไม่ควรเริ่มต้นใหญ่
ในสมัยเด็กๆผมได้สังเกตเห็นความแตกต่างของวิธีคิดและวิธีการดำเนินชีวิตของคนสองกลุ่มคือ กลุ่มคนไทย เชื้อสายจีนที่มักจะอาศัยอยู่ในตลาด อาชีพที่ทำส่วนใหญ่คือเปิดร้านขายของ และกลุ่มคนไทยที่มี อาชีพทำการ เกษตรมีที่ดินซึ่งได้มาจากมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ตอนแรกคนไทยเชื้อสายจีนมักจะเริ่มต้นจากร้านขาย ของชำเล็กๆหรือไม่ก็ปลูกผักขาย ที่อยู่ก็อาจจะเป็นแค่เพิงพอที่จะหลบแดดหลบฝนได้เท่านั้น คนกลุ่มนี้พยายาม เก็บหอมรอบริบจนค่อยๆเติบโตขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยแต่เติบโตอย่างอย่างมั่นคง จากกระต๊อบ กลายเป็นห้อง แถวจากห้องแถวกลายเป็นตึกสองชั้นสามชั้น จนกลายเป็นกิจการใหญ่โต



ในขณะที่คนไทยกลุ่มที่สองที่เคยทำสวนทำไร่จากฐานะคหบดีใหญ่ในหมู่บ้าน เมื่อที่ดินถูกแบ่งให้ลูกให้หลาน ทอดแล้วทอดเล่า มรดกทางทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นที่ดิน เรือกสวนไร่นา บ้านหลังใหญ่ๆ ก็จะเหลือน้อยลงๆ ทุกรุ่นสุดท้ายหลายคนก็ต้องขายที่ขายทางไป บางคนก็คิดการใหญ่อยากจะร่ำรวยเหมือนคนไทยเชื้อ สายจีน บ้างอยากจะผันตัวเองจากเกษตรกรมาเป็นพ่อค้า แต่คนกลุ่มที่สองนี้มักจะเริ่มต้นทำอะไรเกินตัว เพราะค่านิยม ของคนไทยโดยเฉพาะคนในชนบทมักจะคำนึงถึงหน้าตามากกว่าเรื่องอื่น เช่น ถ้าจะทำกิจการต้องเปิดตัวให้ ใหญ่โตบางคนเริ่มเปิดกิจการใหญ่โตมีตึก 5 ชั้น แต่ด้วยความที่ไม่ได้เกิดจากจากสายเลือดของคนทำมาค้าขาย ที่แท้จริงทำให้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดประสบการณ์ในการค้าขาย สุดท้ายตึกที่เคยเริ่มต้นทำพิธีเปิดซึ่งมี 5 ชั้นๆ ค่อยๆลดลงมาทีละชั้น สุดท้ายเหลือเพียงขายก๋วยเตี๋ยวแบบรถเข็นหรือไม่ก็กลับเข้าไปรับจ้างทำสวนเหมือน รุ่นปู่ย่าตายาย

ถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่ผมก็ยังเชื่อว่าเรื่องแบบนี้ยังมีให้เห็นอยู่มากในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมของปัญญาชนคนทำงานแบบเราๆ พูดง่ายๆคือคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนนี่แหละ ผมก็ยังมีความ เชื่อต่อไปอีกว่าลูกจ้างทุกคนมีฝันที่อยากจะเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และบางคนยังฝันถึงการเป็นเจ้า ของกิจการแต่... จะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างฝันให้เป็นจริงได้ เจ้าของกิจการหลายคน เริ่มต้นชีวิตจากการ เป็นลูกจ้างระดับล่างสุด แต่ด้วยความมานะพยายามสุดท้ายก็กลายเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จได้ ในขณะที่ลูกจ้างอีกหลายคนที่คิดใหญ่ฝันใหญ่ แต่ไปไม่ถึงดวงดาว เหตุผลสำคัญคือ "ใจร้อน" ไม่อยากเห็น ตัวเองเป็นเจ้าของกิจการตอนอายุหกสิบ โดยเฉพาะลูกจ้างรุ่นใหม่ เช่น พอคิดอยากจะเป็นเจ้าของกิจการ แทนที่จะหาประสบการณ์จากการทำงานให้มากพอ ก็คิดที่จะเติบโตทางลัด โดยการร่วมลงทุนกับเพื่อนๆ หรือการนำเงินก้อนหนึ่งที่ได้จากการออกจากงานไปลงทุนทำกิจการ คนที่โชคดีก็พอมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไป ไม่รอดเพราะขาดประสบการณ์ เพราะคิดใหญ่และทำใหญ่เท่ากับที่คิด เผลอๆทำใหญ่กว่าที่คิดเสียอีก เหมือน กับคนมีเงินอยู่สองแสนบาทคิดจะตกแต่งบ้านใหม่ให้อยู่ในงบสองแสน เชื่อหรือไม่ครับว่าพอลงมือทำจริงๆ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมักจะเกินงบหรือที่มักจะเรียกกันว่างบบานปลายนั่นเอง เช่นเดียวกันกับการทำสิ่งต่างๆ ถ้าเราคิดใหญ่ระดับไหน สิ่งที่ลงมือทำจริงมันจะยิ่งมีภาระใหญ่กว่าที่เราคิด เพราะบางเรื่องเรายังคิดไม่ถึง จะเจอก็ต่อเมื่อลงมือทำ

ผมอยากจะเปรียบเทียบให้เห็นว่าการที่เราเร่งรีบทำอะไรเร็วกว่าเวลาที่ควรจะเป็นเหมือนกับการที่เราเพาะ ชำต้นกล้าเราเรารีบนำหน่อหรือกล้าไม้เหล่านี้ออกไปปลูกในแปลงปลูกจริงก่อนเวลาที่เหมาะสมแล้ว โอกาส ที่จะรอดจากแสงแดด ศัตรูพืชคงจะยากมากนะครับ ดังนั้น ถ้าใครคิดจะทำอะไร แน่นอนว่าการคิดใหญ่เป็น สิ่งที่ดีแต่การเริ่มต้นหรือลงมือทำใหญ่เลยนั้น ย่อมมีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน

สำหรับข้อคิดเกี่ยวกับการคิดใหญ่ แต่ไม่ควรเริ่มต้นใหญ่ ผมใคร่ขอแนะนำเป็นข้อๆดังนี้



คิดให้ใหญ่ คิดให้กว้าง คิดให้ลึก
ถ้าเราต้องการจะทำอะไร ขอให้คิดถึงภาพใหญ่ไว้ก่อนเสมอ เพราะการที่เราสามารถมองภาพใหญ่ ได้จะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เราอยากจะทำได้ดีกว่า เช่น ถ้าเราต้องการจะเปิดกิจการร้านขายกาแฟ เล็กๆสักหนึ่งร้านในหมู่บ้าน เราไม่ควรมองภาพแค่ร้านขายกาแฟที่มีอยู่ในหมู่บ้านที่เราอยู่เท่านั้น แต่จะต้องมองไกลออกไปข้างนอก มองกว้างไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับร้านขายกาแฟ มองลึกลงไป ถึงเทคนิคกลยุทธ์ในธุรกิจกาแฟให้ได้ก่อน ก่อนที่จะคิดลงมือทำ ถ้าเราเป็นลูกจ้าง แล้วเราฝันอยาก จะเป็นผู้บริหารระดับสูง เราก็ไม่ควรมองแค่เพียงตำแหน่งบริหารในองค์กรของเรา แต่จะต้องมอง ออกไปยังองค์กรอื่น มองไปยังสายงานอื่น มองลึกลงไปถึงแนวทางในการไต่เต้า ไปสู่ตำแหน่ง ระดับสูงเหล่านั้นก่อนเสมอ



คิดจากเล็กไปหาใหญ่ และคิดจากใหญ่กลับมาหาเล็ก
เทคนิคการคิดใหญ่นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรจะคิดสวนกลับ ใครเริ่มคิดที่ภาพใหญ่ก็ควรจะคิดสวน ทางกลับมาหาภาพเล็กอีกครั้งหนึ่ง ใครเริ่มคิดจากภาพเล็กก่อน ก็ควรจะขยายความคิดออกไปสู่ ภาพใหญ่ด้วยเพราะการคิดแบบนี้จะช่วยกรองความคิดของเราให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงใน สิ่งที่เราต้องการจะทำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังจะช่วยให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของความฝัน (ภาพใหญ่)กับความจริง(สิ่งเล็กๆที่เราจะเริ่มทำ)ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถ้าจะให้ดีไปกว่านี้ ก็ควรจะ คิดย้อนไปย้อนมาระหว่างภาพใหญ่กับภาพเล็กหลายๆรอบ เพื่อให้เกิดการตกผลึกทางความคิดมากยิ่งขึ้น



ทำพิมพ์เขียวทางความคิดจากเล็กไปสู่ใหญ่
เมื่อได้ผลึกทางความคิดมาเรียบร้อยแล้ว ก็ให้วางแผนจัดทำพิมพ์เขียวของการนำความคิดไปปฏิบัติ โดยมีการกำหนดลำดับขั้นตอนของกิจกรรมแต่ละอย่างไว้อย่างเป็นระบบ อะไรควรจะทำก่อน-หลัง เหมือนกับเราทำพิมพ์เขียวเพื่อสร้างบ้านสักหลังหนึ่งที่จะต้องให้โครงสร้างทั้งหมด และรู้เลยว่าจะต้อง เริ่มต้นทำจากตรงไหนก่อน และเฟสแรกที่จะทำทำแค่ไหน ถ้าจะต่อเฟสสองจะสามารถต่อกันได้อย่างไร



คิดใหญ่ แต่เริ่มต้นทำจากจุดเล็กๆก่อน
ถ้าพิมพ์เขียวที่ทำไว้ดี การลงมือทำก็ง่ายขึ้น ในขณะที่ลงมือทำกิจกรรมแต่ละชิ้นแต่ละอย่างขอให้จดจ่อกับ กิจกรรมนั้นๆ อย่ามัวแต่ไปกังวลกับภาพใหญ่เสียก่อน เหมือนกับการที่เราเริ่มลงมือก่ออิฐที่ละก้อน ขอให้จดจ่อกับการก่ออิฐก้อนนั้นๆ อย่าเพิ่งไปคิดว่าเราก่ออิฐก้อนนี้แล้ว บ้านเราจะออกมาสวยหรือไม่
สรุป การคิดใหญ่ ไม่คิดเล็กนั้นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเราขาดด้อยประสบการณ์ เราไม่ต้องการความเสี่ยงในชีวิตมาก ก็น่าจะเริ่มลงมือทำจากสิ่งเล็กๆก่อน ด้วยเหตุผลสองประการคือ ถ้าสิ่งเล็กๆที่ลงมือทำประสบความสำเร็จก็จะช่วย เป็นเชื้อเพลิงกำลังใจให้ชีวิตเรา ยิ่งงานชิ้นเล็กๆประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ เชื้อเพลิงกำลังใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันถ้างานชิ้นเล็กๆประสบความล้มเหลวก็ไม่เกิดผลกระทบต่อความฝันของเรามากนัก ยังพอมีเวลาแก้ตัว ยังไม่ท้อเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับการคิดใหญ่ ทำใหญ่และล้มเหลวครั้งใหญ่ ดังนั้น การคิดใหญ่แต่เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ก่อนก็น่าจะเป็นแนวทางให้ท่านผู้อ่านสร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนนะครับ


ตีพิมพ์ลงคอลัมน์ "โลกนักบริหาร" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ฉบับวันพุธที่ 26 มกราคม 2548
http://www.peoplevalue.co.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น